ชวนากร
ชวนากร
There , Here สองศัพท์นี้ใช้บ่อยทั้งการพูด การเขียน there แปลว่า ที่นั่น here ที่นี่ (บางที here ยังแปลว่า นี่ เช่น Here you are. แปลว่า นี่ครับ. ใช้เมื่อยื่นสิ่งของให้คนอื่น) ทั้งสองศัพท์นี้ไม่มีความพิเศษอะไร เวลาใช้นิยมเรียงไว้ท้ายประโยค เช่น ฉันอยู่ที่นี่ = I am here. เขาอยู่ที่นั่น = He is there. There is, There are There เมื่ออยู่โดดๆ จะแปลว่า “ที่นั่น” แต่ถ้ารวมกับ is are was were จะแปลว่า “มี” ใช้สร้างเป็นประโยคบอกเล่า คำถาม ปฏิเสธ หรือคำถามปฏิเสธได้ There is = มี (สิ่งเดียว คำนามที่ตามหลังจะไม่เติม s ยกเว้นศัพท์เฉพาะ มีความหมายเป็นปัจจุบัน) There are = มี (มีสองสิ่งขึ้นไป คำนามตามหลังส่วนมากจะมี s เติมท้าย มีความหมายเป็นปัจจุบัน) There was = มี (มีความหมายและการใช้เหมือนกันกับ There is แต่มีความหมายเป็นอดีต) There were = มี (มีความหมายและการใช้เหมือนกันกับ There are แต่มีความหมายเป็นอดีต) ตัวอย่างการใช้ There is a pen on the table. มีปากกาด้ามหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ There are two pens on the book. มีปากกาสองด้ามวางอยู่บนหนังสือ There was a pen on the table yesterday. เมื่อวานมีปากด้ามหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ There were two pens on the book yesterday. เมื่อวานมีปากกาสองด้ามวางอยู่บนหนังสือ สร้างประโยคจาก there is, there are , there was, there were 1. ประโยคคำถาม ให้นำเอา Verb to be คือ is, am, are, was, were ขึ้นต้นประโยค กล่าวคือสรุปตำแหน่งของ there กับ verb to be นั่นเอง จากนั้นให้ลอกทุกตัวที่เหลือในประโยคบอกเล่า แล้วใส่เครื่องหมายคำถาม เช่น There is a bird on the tree. มีนกหนึ่งตัวบนต้นไม้ (ประโยคบอกเล่า) Is there a bird on the tree? มีนกหนึ่งตัวบนต้นไม้ใช่ไหม (ประโยคคำถาม) 2. ประโยคปฏิเสธ ให้นำเอา not ไปเติมหลัง Verb to be ในประโยคบอกเล่า ก็จะมีความหมายเป็นปฏิเสธ เช่น There is not a bird on the tree. ไม่มีนกหนึ่งตัวบนต้นไม้ 3. ประโยคคำถามปฏิเสธ ให้นำเอา not ไปเรียงไว้หลัง there ในประโยคคำถาม ก็จะได้ประโยคคำถามปฏิเสธทันที เช่น Is there not a bird on the tree? ไม่มีนกหนึ่งตัวบนต้นไม้ใช่ไหม